กรดยูริก ตัวการสำคัญโรคเกาต์

โรคเกาต์ (Gout) เป็นโรคข้ออักเสบที่พบได้บ่อยในประเทศไทย โดยเฉพาะในเพศชายที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป  สาเหตุหลักของโรคนี้คือการมีระดับกรดยูริก ในเลือดสูง ซึ่งนำไปสู่การตกผลึกของเกลือยูเรตในข้อ ทำให้เกิดอาการปวด บวม และแดงที่ข้อ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับกรดยูริกและ การดูแลสุขภาพ ที่เหมาะสมสามารถช่วยป้องกันและควบคุมโรคเกาต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ.

โรคเกาต์: สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง

โรคเกาต์ คือ โรคข้ออักเสบชนิดหนึ่งที่เกิดจากการตกผลึกของกรดยูริก (Uric Acid) ภายในข้อ ทำให้เกิดอาการอักเสบ ปวด บวม แดง และร้อนบริเวณข้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณนิ้วหัวแม่เท้า ซึ่งมักเป็นบริเวณที่เริ่มแสดงอาการก่อน อาการเด่นของ โรคเกาต์ คืออาการปวดข้ออย่างเฉียบพลันในช่วงกลางคืนหรือเช้ามืด

กรดยูริกคืออะไร เกี่ยวข้องอย่างไรกับโรคเกาต์

กรดยูริก เป็นของเสียชนิดหนึ่งที่ร่างกายสร้างขึ้นจากการสลายสารพิวรีน (Purine) ซึ่งพบได้ในอาหารประเภทเครื่องในสัตว์ อาหารทะเล เห็ด และพืชบางชนิด เช่น หน่อไม้ ฝักถั่วต่าง ๆโดยปกติ กรดยูริกจะถูกขับออกจากร่างกายผ่านทางปัสสาวะ แต่หากมีการผลิตกรดยูริกมากเกินไปจากการขับออกลดลง จะทำให้ระดับกรดยูริกในเลือดสูงขึ้น เมื่อร่างกายมีกรดยูริกมากเกินไป หรือมีปัญหาในการขับออกทางไต กรดยูริกจะสะสมในกระแสเลือดและไปตกผลึกที่ข้อหรือเนื้อเยื่อต่าง ๆ จนทำให้เกิด โรคเกาต์ ในที่สุด

อาการของโรคเกาต์

ผู้ป่วย โรคเกาต์ จะมีอาการที่ชัดเจนและเฉียบพลัน ได้แก่

-ปวดข้ออย่างรุนแรง โดยเฉพาะข้อเดียว เช่น ข้อนิ้วหัวแม่เท้า

-ข้อบวม แดง ร้อน และรู้สึกตึง

-อาการมักเกิดขึ้นในเวลากลางคืนหรือเช้ามืด

-อาจมีไข้ร่วมด้วยในบางราย

ถ้าไม่ได้รับการรักษา อาจมีการอักเสบเรื้อรัง และเกิดก้อนโทฟัส (Tophi) จากการสะสมของผลึก กรดยูริก ตามข้อ ผิวหนัง หรือไต

ใครบ้างที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคเกาต์

แม้ว่า โรคเกาต์ จะเกิดได้กับทุกเพศทุกวัย แต่ก็มีบางกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงกว่า ได้แก่

-เพศชายวัยกลางคน อายุ 30-60 ปี

-ผู้ที่ชอบรับประทานอาหารที่มีพิวรีนสูง เช่น เครื่องในสัตว์ กุ้ง ปลาหมึก

-ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ โดยเฉพาะเบียร์

-ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคเกาต์

-ผู้ที่เป็นโรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือโรคไตเรื้อรังการวินิจฉัยและการรักษา

การวินิจฉัย

การวินิจฉัยโรคเกาต์ประกอบด้วย

-การตรวจระดับกรดยูริกในเลือด

-การตรวจน้ำในข้อเพื่อหาผลึกยูเรต.​

-การถ่ายภาพรังสีเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของข้อ

การรักษาโรคเกาต์

เป้าหมายของการรักษา โรคเกาต์ คือการลดอาการอักเสบเฉียบพลัน ป้องกันการเกิดซ้ำ และลดระดับกรดยูริกในเลือดให้ต่ำกว่าระดับที่ตกผลึกได้ โดยมีแนวทางการรักษาหลักดังนี้:

การใช้ยา

-ยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs)

-ยาควบคุมระดับกรดยูริก เช่น Allopurinol หรือ Febuxostat

-ยาควบคุมการอักเสบเฉพาะจุด เช่น Colchicine

การควบคุมอาหาร

-ลดอาหารที่มีพิวรีนสูง เช่น เครื่องในสัตว์ ซุปกระดูก อาหารทะเล

-หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และน้ำตาลฟรุกโตสสูง

-ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยขับกรดยูริกทางปัสสาวะ

ปรับพฤติกรรมการดำเนินชีวิต

การดูแลสุขภาพ ที่เหมาะสมสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิด โรคเกาต์ ได้ โดยมีแนวทางดังนี้

-ควบคุมอาหาร หลีกเลี่ยงอาหารที่มีพิวรีนสูง เช่น เครื่องในสัตว์ เนื้อแดง และอาหารทะเล และลดน้ำหนักอย่างเหมาะสม

-งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเบียร์ ซึ่งเพิ่มระดับกรดยูริกในเลือด

-ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยขับกรดยูริกออกจากร่างกาย.​

-ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อควบคุมน้ำหนักและสุขภาพโดยรวม.​

-หมั่นตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อตรวจสอบระดับกรดยูริกอย่างต่อเนื่องและจตรวจดูสุขภาพทั่วไป

ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับโรคเกาต์

-โรคเกาต์เกิดจากกับคนอายุเยอะเท่านั้น : ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะวัยทำงานที่กินเหล้า กินเนื้อสัตว์เยอะก็มีความเสี่ยงในการเกิดโรคเกาต์เช่นกัน

-หายปวดแล้วคือหายขาด : ไม่ถูกต้อง เพราะ โรคเกาต์ สามารถกลับมาเป็นได้ตลอดเวลาถ้าไม่ควบคุมกรดยูริกในร่างกาย

-ดื่มเบียร์ดีกว่ากินเหล้า : ผิด เพราะเบียร์มีพิวรีนสูงกว่าวิสกี้หรือไวน์

สรุป

โรคเกาต์เป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับระดับกรดยูริกในร่างกายอย่างใกล้ชิด หากเข้าใจสาเหตุและการป้องกันอย่างถูกต้อง เราก็สามารถลดความเสี่ยงและควบคุมโรคนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การดูแลสุขภาพ อย่างสม่ำเสมอ การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม และการปฏิบัติตัวอย่างมีวินัย คือหัวใจสำคัญในการอยู่ร่วมกับโรคเกาต์อย่างมีคุณภาพชีวิต

 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

This site uses cookies to offer you a better browsing experience. By browsing this website, you agree to our use of cookies.