ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ เป็นปัญหาสุขภาพที่ผู้หญิงไทยจำนวนมากเผชิญในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการมาช้ากว่าปกติ มาขาด ๆ หาย ๆ หรือมามากเกินไป ล้วนส่งผลต่อสุขภาพกายและใจ รวมถึงคุณภาพชีวิตโดยรวม บทความนี้จะพาคุณเข้าใจสาเหตุของประจำเดือนที่ไม่ปกติ พร้อมแนวทาง การดูแลสุขภาพ เพื่อให้รอบเดือนกลับมาสม่ำเสมออีกครั้ง
ประจำเดือนปกติควรเป็นอย่างไร?
โดยทั่วไปแล้ว รอบเดือนของผู้หญิงอยู่ระหว่าง 21–35 วัน และมีระยะเวลาของประจำเดือนประมาณ 3–7 วัน ปริมาณเลือดประจำเดือนควรอยู่ที่ไม่เกิน 80 มิลลิลิตรต่อรอบเดือน หรือเท่ากับการเปลี่ยนผ้าอนามัยประมาณ 4 – 5 แผ่นต่อวัน
รอบเดือนมาไม่สม่ำเสมอ
หากรอบเดือนมีความคลาดเคลื่อน มาไม่ตรง เช่น มาทุก 40 วัน หรือบางเดือนมา 2 ครั้ง หรือ ขาดหายไปหลายเดือน ถือว่า ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ นอกจากนั้นการมีเลือดออกมากเกินไป (ต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยทุกชั่วโมง) หรือเลือดออกน้อยมากจนแทบไม่มีมีเพียงจุดสีน้ำตาลเล็ก ๆ หรือมีลิ่มเลือดขนาดใหญ่ปนมาเป็นประจำถือว่ามีปัญหาเกี่ยวกับรอบเดือนเช่นกัน
ถ้า ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ ชัดเจน ไม่ว่าจะมาเร็ว มาช้า หายไป มามากเกินไป มาน้อยเกินไป หรือมาพร้อมอาการผิดปกติ ควรเข้ารับการ ตรวจสุขภาพ หรือพบแพทย์ เพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริง เช่น ภาวะรังไข่ไม่ตกไข่, ความเครียด, หรือโรคถุงน้ำในรังไข่ (PCOS)
สาเหตุของประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ
ความเครียดและภาวะทางจิตใจ
ความเครียดส่งผลต่อสมองส่วนที่ควบคุมการหลั่งฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการตกไข่ หากมีความเครียดมากอาจทำให้ประจำเดือนมาช้าหรือ ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ ได้
น้ำหนักตัวที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
การลดหรือเพิ่มน้ำหนักอย่างรวดเร็วสามารถส่งผลต่อระดับฮอร์โมนในร่างกาย ทำให้ ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ
การใช้ยาคุมกำเนิด
การรับประทานยาคุมกำเนิดไม่สม่ำเสมออาจทำให้ประจำเดือนมาไม่ตรงเวลา
โรคหรือภาวะทางสุขภาพ
เช่น โรคถุงน้ำในรังไข่ (PCOS) หรือเนื้องอกในมดลูก อาจทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ
การออกกำลังกายหนักเกินไป
การออกกำลังกายที่หนักเกินไปอาจส่งผลต่อความผิดปกติของประจำเดือน
การดูแลสุขภาพเพื่อปรับรอบเดือนให้สม่ำเสมอ
การจัดการความเครียด
ฝึกสมาธิ โยคะ หรือการออกกำลังกายเบา ๆ เพื่อช่วยลดความเครียดที่อาจรบกวนการทำงานของฮอร์โมนในร่างกาย
การดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง
รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ออกกำลังกายอย่างพอดี และรับประทานอาหารครบ 5 หมู่
การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
เลือกทานผักใบเขียว เมล็ดแฟลกซ์ ผลไม้ที่มีวิตามินซี ธัญพืชเต็มเมล็ด และถั่ว เพื่อช่วยให้ประจำเดือนมาปกติ ลดอาการปวดประจำเดือน และทำให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้น
การพักผ่อนให้เพียงพอ
การนอนหลับอย่างเพียงพอช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูและรักษาสมดุลของฮอร์โมน
การหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง
เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ซึ่งอาจส่งผลต่อรอบเดือน
การรักษาทางการแพทย์สำหรับภาวะประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ
หากพบว่ามีภาวะ ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ อย่างต่อเนื่อง แพทย์จะเริ่มต้นด้วยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และเลือกแนวทางรักษาตามสาเหตุเฉพาะราย ซึ่งสามารถจำแนกวิธีการรักษาออกได้เป็นกลุ่มต่าง ๆ ดังนี้
การตรวจวินิจฉัยเบื้องต้น
ก่อนการรักษา แพทย์จะดำเนินการตรวจ ดังนี้
-ซักประวัติ: รอบเดือน ความถี่ ความเปลี่ยนแปลง น้ำหนัก ความเครียด ประวัติครอบครัว
-ตรวจร่างกาย: น้ำหนัก ส่วนสูง หน้าท้อง อวัยวะสืบพันธุ์
-ตรวจเลือด: เช็กระดับฮอร์โมน เช่น FSH, LH, Prolactin, TSH, Estradiol
-อัลตราซาวด์ทางช่องคลอด: ตรวจดูความผิดปกติของมดลูกและรังไข่
-การตรวจอื่นๆ เช่น Pap smear, ตรวจเบาหวาน หรือฮอร์โมนอินซูลิน
การรักษาด้วยยา
การรักษาทางยาเป็นวิธีที่แพทย์ใช้บ่อยและปลอดภัย หากทำภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิด
ยากลุ่มฮอร์โมน ใช้เพื่อปรับสมดุลฮอร์โมนในร่างกาย เช่น
-ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเอสโตรเจ + โปรเจสเตอโรน ช่วยให้ประจำเดือนมาตามรอบปกติ ลดปริมาณเลือดประจำเดือน และลดอาการปวดประจำเดือน
-ยาฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ใช้สำหรับผู้ที่ห้ามใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน เช่น คนอ้วน เบาหวาน ความดัน
-ยากระตุ้นการตกไข่ ที่ใช้ในผู้ที่อยากจะมีบุตร และ ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ จากภาวะไม่ตกไข่ เช่น PCOS
-ยารักษาภาวะเฉพาะ เช่น Metformin ในผู้ป่วย PCOS ที่มีภาวะดื้ออินซูลิน หรือ Thyroxine ในกรณีที่มีภาวะไทรอยด์ทำงานผิดปกติ
การรักษาด้วยวิธีทางหัตถการ (ถ้าจำเป็น)
ในบางกรณีที่การใช้ยาไม่ช่วยแก้ปัญหา ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ แพทย์อาจพิจารณาทำหัตถการ เช่น
-ขูดมดลูก (D&C – Dilatation and Curettage) ในกรณีมีเลือดออกผิดปกติและต้องการตรวจหาเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูก
-ผ่าตัดถุงน้ำรังไข่ ในกรณีที่ถุงน้ำมีขนาดใหญ่หรือไม่หายไปเอง
-ผ่าตัดมดลูกหรือรังไข่ ในกรณีที่ตรวจพบมะเร็งหรือเนื้องอกร้ายแรง
การดูแลสุขภาพควบคู่การรักษา
แพทย์จะเน้นให้ผู้ป่วยร่วมปรับพฤติกรรม ดังนี้ ลดน้ำหนักถ้ามีภาวะอ้วน ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด (โดยเฉพาะในผู้ที่มี PCOS) ให้หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูงและหวานจัด พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
การติดตามผลอย่างต่อเนื่อง
ผู้ป่วยควรกลับมาตรวจติดตามทุก 1–3 เดือน ตามดุลยพินิจของแพทย์ เพื่อประเมินผลการใช้ยาและผลข้างเคียง เพื่อจะได้ปรับแผนการรักษาใหม่หากอาการยังไม่ดีขึ้น
สรุป
ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ เป็นปัญหาที่สามารถจัดการได้ด้วย การดูแลสุขภาพ อย่างเหมาะสม หากพบว่า ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและแนวทางการรักษาที่เหมาะสม การดูแลสุขภาพที่ดีจะช่วยให้คุณมีคุณภาพชีวิตที่ดีและห่างไกลจากปัญหาสุขภาพในระยะยาว