โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s Disease) เป็นโรคทางระบบประสาทที่พบได้บ่อยใน ผู้สูงอายุ โดยเฉพาะในกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป ที่จะเกิดอาการสั่น เกร็ง เคลื่อนไหวไม่สะดวก เคลื่อนไหวได้ช้า มีอาการซึมเศร้า หลงลืมได้ง่าย แต่การรักษาและการดูแลที่เหมาะสมจะสามารถช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและสามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้ใกล้เคียงกับปกติ
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคพาร์กินสัน
โรคพาร์กินสัน เกิดจากการเสื่อมของเซลล์ประสาทในสมองส่วนที่ผลิตสารโดปามีน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย เมื่อระดับโดปามีนลดลง จะส่งผลให้เกิดอาการต่างๆ เช่น สั่น เกร็ง และเคลื่อนไหวช้าลง ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคพาร์กินสันก็คืออายุที่เพิ่มขึ้น พันธุกรรม และการสัมผัสสารพิษบางชนิด
ทำความรู้จักสารโดปามีน (Dopamine) คืออะไร?
โดปามีน (Dopamine) เป็นสารสื่อประสาท (Neurotransmitter) ที่ผลิตในสมอง มีหน้าที่สำคัญในการส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ประสาท โดยเฉพาะในสมองส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหว อารมณ์ และแรงจูงใจ ซึ่งบทบาทของโดปามีนนั้น ประกอบไปด้วย
1.ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย
-โดยเฉพาะในสมองส่วน “Substantia Nigra” ซึ่งผลิตโดปามีนเพื่อส่งสัญญาณไปยังบริเวณที่ควบคุมกล้ามเนื้อ
-หากขาดโดปามีน การสั่งการกล้ามเนื้อจะผิดปกติ เช่น สั่น เกร็ง หรือเคลื่อนไหวช้า
2.เกี่ยวข้องกับอารมณ์และความสุข
-โดปามีนยังเกี่ยวข้องกับ “ระบบรางวัล” (Reward system) ทำให้เรารู้สึกพอใจหรือมีแรงจูงใจ
-มีความสัมพันธ์กับโรคทางอารมณ์ เช่น ซึมเศร้า หรือสมาธิสั้น (ADHD)
3.มีผลต่อความจำและการเรียนรู้
-ช่วยให้สมองจดจำสิ่งที่ให้ผลตอบแทนทางบวก และมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจ
อาการของโรคพาร์กินสัน
อาการของ โรคพาร์กินสัน สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก:
1.อาการทางการเคลื่อนไหว (Motor Symptoms)
-มือสั่น โดยเฉพาะขณะพัก
-กล้ามเนื้อเกร็ง
-เคลื่อนไหวช้าลง
-เสียสมดุลและล้มง่าย
2.อาการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว (Non-Motor Symptoms)
-ปัญหาการนอนหลับ
-อารมณ์ซึมเศร้าและวิตกกังวล
-ปัญหาการกลืนและการพูด
-ความจำเสื่อมและภาวะสมองเสื่อม
การวินิจฉัยโรค
การวินิจฉัย โรคพาร์กินสัน อาศัยการตรวจร่างกายโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยา ร่วมกับการสอบถามประวัติอาการและการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติม เช่น การตรวจภาพสมองด้วย MRI หรือ CT Scan เพื่อแยกโรคอื่นที่มีอาการคล้ายคลึงกัน
แนวทางการรักษาโรคพาร์กินสัน
การรักษา โรคพาร์กินสัน มีเป้าหมายเพื่อควบคุมอาการ เพิ่มคุณภาพชีวิต และชะลอการเสื่อมของระบบประสาท การรักษาแบ่งออกเป็นหลายแนวทาง ดังนี้
การรักษาด้วยยา
1.Levodopa
-เป็นยาหลักที่ใช้เพิ่มระดับโดปามีนในสมอง โดยร่างกายจะเปลี่ยน Levodopa เป็นโดปามีน
-มักใช้ร่วมกับ Carbidopa เพื่อลดผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้
-ให้ผลในการบรรเทาอาการที่รวดเร็วและชัดเจน
2.Dopamine Agonists
-ได้แก่ Pramipexole, Ropinirole
-เลียนแบบการทำงานของโดปามีน โดยกระตุ้นตัวรับโดปามีนในสมอง
-ใช้เสริม Levodopa หรือใช้เดี่ยวในระยะเริ่มต้น
3.MAO-B Inhibitors และ COMT Inhibitors
-ได้แก่ Selegiline, Rasagiline (MAO-B Inhibitors) และ Entacapone (COMT Inhibitors)
-ยับยั้งการสลายตัวของโดปามีนและ Levodopa ทำให้ยาออกฤทธิ์ได้นานขึ้น
การผ่าตัดกระตุ้นสมองส่วนลึก (Deep Brain Stimulation – DBS)
-เป็นการฝังอิเล็กโทรดลงในสมอง และเชื่อมต่อกับเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าใต้ผิวหนัง
-ช่วยลดอาการสั่น เกร็ง และการเคลื่อนไหวผิดปกติในผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อยา
-เพิ่มคุณภาพชีวิตและลดปริมาณยาที่ต้องใช้
การดูแลผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน
การดูแลผู้ป่วย โรคพาร์กินสันไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพียงแค่ควบคุมอาการเท่านั้น แต่ยังเป็นหัวใจสำคัญในการชะลอการเสื่อมของระบบประสาท ลดภาวะแทรกซ้อน และส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ การดูแลผู้ป่วย โรคพาร์กินสัน ในผู้สูงอายุ ควรเป็นแบบองค์รวม ครอบคลุมทั้งร่างกาย จิตใจ และสิ่งแวดล้อม
1. การดูแลทางร่างกาย
-รับประทานยาให้ตรงเวลา และสังเกตผลข้างเคียง
-ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เช่น เดิน โยคะ ไทชิ
-ทานอาหารที่มีกากใยสูง ดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อป้องกันปัญหาท้องผูก
2. การดูแลสุขภาพจิต
-สนับสนุนให้ผู้ป่วยทำกิจกรรมที่ชอบ
-ส่งเสริมการมีปฏิสัมพันธ์กับครอบครัวและชุมชน
-หากผู้สูงอายุ มีภาวะซึมเศร้า ควรพาเข้าพบจิตแพทย์
3. การปรับสิ่งแวดล้อม
-ปรับบ้านให้ปลอดภัย เช่น ติดราวจับ ลบมุม พื้นไม่ลื่น
-ใช้อุปกรณ์ช่วยเดินหากจำเป็น
4. บทบาทของผู้ดูแล
-ให้กำลังใจ คอยสังเกตอาการ
-ช่วยในการจัดการยาและพาไปพบแพทย์
-เข้าร่วมอบรมหรือกิจกรรมกลุ่มผู้ดูแลเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์
โรคพาร์กินสันรักษาไม่หาย
แม้คำตอบทางการแพทย์คือ โรคพาร์กินสัน ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด เนื่องจากเซลล์สมองที่เสื่อมสภาพไม่สามารถฟื้นฟูได้ แต่ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ในปัจจุบัน ทำให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมอาการได้ดีและมีชีวิตที่ใกล้เคียงปกติหากได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง
สรุป
โรคพาร์กินสัน เป็นโรคที่พบได้บ่อยใน ผู้สูงอายุ และแม้จะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ด้วยการรักษาและ การดูแลผู้ป่วย ที่เหมาะสม ผู้ป่วย โรคพาร์กินสัน สามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีและดำเนินชีวิตประจำวันได้ใกล้เคียงกับภาวะปกติ การสนับสนุนจากครอบครัวและชุมชนมีบทบาทสำคัญในการดูแลผู้ป่วย โรคพาร์กินสัน