โรคงูสวัด สาเหตุ อาการ และวิธีรักษา

โรคงูสวัด เป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่ง ที่เมื่อเป็นแล้วจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการแสบร้อน มีตุ่มน้ำบนผิวหนังเรียงกันเป็นเส้นตรง ซึ่งมักเกิดขึ้นบริเวณด้านข้างลำตัวและในหน้า โดยเมื่อเวลาผ่านไป 3-5 วันตุ่มน้ำที่เกิดขึ้นจะเริ่มแห้งและตกสะเก็ด ทิ้งร่องรอยแผลเป็นเอาไว้ในบริเวณที่เกิดโรค แม้จะไม่ใช่โรคที่ติดต่อกันได้ง่ายแต่ก็ควรทำความเข้าใจถึงสาเหตุ อาการ รวมถึงการรักษาเอาไว้ เพื่อที่หากเกิดขึ้นกับตัวเองหรือคนรอบข้างจะได้ปฏิบัติตัวอย่างถูกต้อง

สาเหตุของ โรคงูสวัด (Herpes Zoster)

โรคงูสวัด (Herpes Zoster) มีสาเหตุการป่วยมาจากหลากหลายปัจจัย เช่น เคยป่วยโรคอีสุกอีใสมาก่อน ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำอยู่เป็นทุนเดิม ผู้ที่พักผ่อนไม่เพียงพอต่อเนื่องนาน ๆ เป็นต้น ซึ่งปัจจัยสำคัญคือการติดเชื้อโรคชนิดหนึ่งที่คล้ายอีสุกอีใส โรคงูสวัด เป็นโรคที่ค่อนข้างน่ากลัวและอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ได้ด้วย

อาการของ โรคงูสวัด ที่สังเกตได้ ควรเฝ้าระวัง

ในส่วนอาการของโรคงูสวัดนั้น มีหลายระดับและส่งผลกับร่างกายของเราแตกต่างกันออกไปรวมถึงอาจมี ภาวะแทรกซ้อนจากโรคงูสวัดร่วมด้วย โดยอาการที่สังเกตได้มีดังนี้

ระยะแรก เริ่มมีไข้ เกิดผื่นแดงตามผิวหนัง

ระยะที่ โรคงูสวัด เริ่มแสดงอาการจะเหมือนป่วยเป็นไข้ปกติ เช่น มีไข้ ร่างกายอ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามร่างกาย เป็นต้น หลังจากที่เชื้อโรคได้ฝังตัวอยู่สักระยะแล้ว ผู้ป่วยก็จะเริ่มมีผื่นแดงตามบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย อย่างแขน ขา มือ ใบหน้า เป็นด้น บางรายนั้นอาจรู้สึกเจ็บปวดบริเวณที่เกิดแผลหรือรอยผื่นได้

ระยะที่สอง ผื่นที่ขึ้นกลายเป็นตุ่มพุพอง

ในระยะนี้ ผื่นจะเริ่มกลายเป็นตุ่มที่มีน้ำหนอง เริ่มลุกลามกระจายไปยังอวัยวะที่ใกล้เคียง ซึ่งถือว่าอันตรายอย่างมากเลยทีเดียว เพราะนอกจากแผลจะเจ็บมาก คันมาก จนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันแล้ว ในช่วงนี้ เชื้อโรคจะเริ่มแพร่กระจายสู่คนอื่นด้วย หากมีบุคคลภายนอกหรือคนใกล้ชิดมาสัมผัสสารคัดหลั่งหรือสัมผัสผิวหนังของผู้ป่วยโรคงูสวัดโอกาสได้รับเชื้อก็มีสูงขึ้น

ระยะที่สาม ผื่นเริ่มแห้งแล้วตกสะเก็ด

เป็นระยะที่อาการป่วยเริ่มฟื้นฟู บริเวณที่เกิดรอยแผล แผลจะค่อย ๆ เริ่มแห้งลง ตุ่มน้ำหนองจะยุบตัว กลายเป็นแผลตกสะเก็ด ในระยะนี้เชื้อโรคงูสวัดจะไม่สามารถแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่นได้ หากรักษาตัว ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้น

ระยะที่อาจมีภาวะแทรกซ้อนจากโรคงูสวัดเกิดขึ้น

ในขณะเดียวกัน ช่วงที่เชื้อโรคค่อย ๆ อ่อนกำลังลง  ก็มีโอกาสที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นมาได้ อาทิ อาการ Postherpetic Neuralgia (PHN) หรือภาวะปวดเส้นประสาทจากการเป็นงูสวัด ที่แม้ตัวโรคจะหายไปแล้วแต่อาการแทรกซ้อนนี้อาจจะยังอยู่เป็นเดือนหรือเป็นปี

3 วิธีรักษาโรคงูสวัด

ในส่วนของการรักษาโรคงูสวัดนั้นสามารถแบ่งออกได้ดังนี้คือ

รักษาด้วยยาตามอาการ

สำหรับระยะแรก เป็นการรักษาผู้ป่วยตามอาการที่ปรากฏออกมาอย่างชัดเจน เช่น หากมีอาการปวดบริเวณกล้ามเนื้อที่ติดเชื้อ เป็นไข้สูง ร่างกายอ่อนเพลีย ก็ทานยาแก้ปวดเพื่อระงับหรือบรรเทาอาการได้ ทั้งนี้ หากเวลาผ่านไปสักระยะแล้วอาการยังไม่ดีขึ้นควรรีบไปปรึกษาแพทย์

รักษาด้วยการให้รับประทานยาต้านไวรัส

หลังจากที่ป่วยด้วย โรคงูสวัด มาระยะหนึ่งแล้ว หากไปพบแพทย์ จะได้รับยาต้านเชื้อไวรัสมา ซึ่งมักเป็นยาสำหรับรับประทาน โดยควรรับประทานตามปริมาณที่แพทย์แนะนำ เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพ และควรดูแลเรื่องความสะอาดของร่างกายและข้าวของเครื่องใช้เป็นเป็นพิเศษ รวมถึงไม่ใช้ของร่วมกันกับผู้อื่นเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ

รักษาด้วยการใช้ยาทาภายนอก

นอกจากยากินแล้ว ยาทาแก้อาการภายนอกก็มีบทบาทในการรักษาโรคนี้เช่นเดียวกัน เพราะในขณะที่มีอาการป่วย ผู้ป่วยเองก็ทรมานกับอาการคัน พร้อมความเจ็บ ปวดแสบปวดร้อนบริเวณที่แผลกำลังลุกลามด้วย ยาทาผิวหนังภายนอกจะช่วยทุเลาอาการคันลงไปบ้างพอสมควร จึงช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวจากอาการมีผื่นหรือแผลตุ่มน้ำหนองบนผิวหนังได้ดี

สรุป

โรคงูสวัด เป็นโรคที่แสดงอาการภายนอกออกมาอย่างชัดเจนในรูปของผื่นและตุ่มน้ำหนอง รวมถึงอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นได้ ส่วนความเชื่อที่เราอาจเคยได้ยินมาว่าถ้างูสวัดพันรอบตัวแล้วจะเสียชีวิตนั้น ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด โดยสาเหตุการเสียชีวิตมักมาจากภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นเพราะภูมิคุ้มกันของร่างการอ่อนแอลงนั่นเอง

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

This site uses cookies to offer you a better browsing experience. By browsing this website, you agree to our use of cookies.