หัวใจ เป็นหนึ่งในอวัยวะที่สำคัญที่สุดของร่างกาย หากสุขภาพหัวใจมีปัญหา ผลกระทบย่อมเกิดขึ้นต่ออวัยวะทุกส่วน การ ตรวจสุขภาพหัวใจ จึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป ผู้มีความเสี่ยง เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง หรือมีคนในครอบครัวเคยมีโรคหัวใจ
ทำไมต้อง “ตรวจสุขภาพหัวใจ”?
การตรวจสุขภาพหัวใจเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามในยุคปัจจุบัน เพราะโรคหัวใจยังคงเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของคนไทย จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขพบว่า ผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สาเหตุหลักเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป เช่น การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง ความเครียดสะสม การสูบบุหรี่ ขาดการออกกำลังกาย และภาวะแทรกซ้อนจากโรคประจำตัวอื่น ๆ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือไขมันในเลือดสูง
ตรวจสุขภาพหัวใจคืออะไร?
การ ตรวจสุขภาพหัวใจ คือการประเมินโครงสร้างและการทำงานของหัวใจ เพื่อค้นหาความเสี่ยงหรือความผิดปกติที่อาจยังไม่แสดงอาการ เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ หลอดเลือดหัวใจตีบ หรือหัวใจล้มเหลวในระยะแรก การตรวจตั้งแต่ยังไม่มีอาการช่วยให้ป้องกันโรคร้ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วิธีการตรวจหัวใจมีกี่แบบ ร่างกายเราเหมาะกับวิธีใด
การ ตรวจสุขภาพหัวใจ มีหลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีเหมาะกับผู้ป่วยต่างกลุ่มกันออกไป ดังนี้
ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram หรือ ECG)
การตรวจ ECG เป็นการวัดสัญญาณไฟฟ้าที่เกิดจากการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจในแต่ละจังหวะ โดยจะติดแผ่นอิเล็กโทรดบนหน้าอก แขน และขา ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที ข้อมูลที่ได้สามารถบอกถึงจังหวะการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติ เช่น ภาวะหัวใจเต้นเร็วหรือช้าเกินไป หรือการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดในบางส่วน ซึ่งอาจบ่งบอกถึงความเสี่ยงของโรคหัวใจได้
แม้ ECG จะเป็นการตรวจที่ง่ายและราคาถูก แต่ก็อาจไม่สามารถตรวจจับความผิดปกติได้หากหัวใจเต้นปกติขณะตรวจ จึงมักใช้ร่วมกับการตรวจอื่น ๆ เพื่อความแม่นยำมากขึ้น
ตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (Echocardiogram หรือ Echo)
Echo คือการใช้คลื่นเสียงความถี่สูงผ่านทางโพรบวางบนหน้าอก แล้วสะท้อนกลับเป็นภาพหัวใจบนจอภาพแบบเคลื่อนไหว ทำให้แพทย์สามารถประเมินขนาดของหัวใจ การทำงานของกล้ามเนื้อ ลิ้นหัวใจ และอัตราการสูบฉีดเลือดของหัวใจได้อย่างชัดเจน
Echo เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการสงสัยว่าเป็นโรคหัวใจ เช่น หอบเหนื่อยง่าย ใจสั่น หรือมีเสียงหัวใจผิดปกติจากการฟังด้วยหูฟังทางการแพทย์ โดยสามารถช่วยวินิจฉัยภาวะหัวใจโต ลิ้นหัวใจรั่ว โรคกล้ามเนื้อหัวใจ และโรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ เป็นต้น การตรวจนี้ไม่มีความเจ็บปวดและไม่ต้องเตรียมตัวล่วงหน้า
ตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย (Exercise Stress Test หรือ Est)
Est เป็นการตรวจเพื่อประเมินการทำงานของหัวใจขณะออกกำลังกาย โดยให้ผู้เข้ารับการตรวจเดินหรือวิ่งบนสายพานหรือปั่นจักรยานนิ่ง ในขณะที่แพทย์จะติดอุปกรณ์วัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) ควบคู่ไปด้วย พร้อมตรวจวัดความดันโลหิตและอาการขณะทำการทดสอบ
การตรวจ Est เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการแน่นหน้าอกเฉพาะเวลาออกแรง หรือผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ เช่น ผู้ชายอายุมากกว่า 45 ปี หรือผู้หญิงมากกว่า 55 ปี และมีปัจจัยเสี่ยง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือไขมันในเลือดสูง
ตรวจหัวใจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Coronary Angiography)
ใช้เทคโนโลยีสร้างภาพหลอดเลือดหัวใจแบบ 3 มิติ โดยจะใช้รังสีเอกซ์สร้างภาพตัดขวาง เพื่อทำการตรวจหาภาวะตีบแคบของหลอดเลือดเหมาะสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูงทางพันธุกรรม หรือเบาหวานรุนแรง ช่วยให้แพทย์ตัดสินใจวางแผนการรักษาอย่างแม่นยำยิ่งขึ้น
ตรวจหัวใจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Cardiac MRI)
เป็นการตรวจพิเศษที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการสร้างภาพรายละเอียดของหัวใจและหลอดเลือด ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการสร้างภาพเพื่อวินิจฉัยความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจ ลิ้นหัวใจ และผนังหัวใจ ช่วยให้แพทย์ตัดสินใจวางแผนการรักษาอย่างแม่นยำยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีข้อจำกัดในการใช้คลื่นเสียงสะท้อน หรือสงสัยกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ การตรวจนี้ช่วยให้แพทย์ตัดสินใจวางแผนการรักษาอย่างแม่นยำยิ่งขึ้น
วิธีการเลือกการตรวจสุขภาพหัวใจให้เหมาะกับร่างกาย
การเลือกวิธี ตรวจสุขภาพหัวใจ ควรพิจารณาปัจจัยดังต่อไปนี้
อายุ – 35 ปีขึ้นไปควรตรวจปีละครั้ง
อาการผิดปกติ – เช่น แน่นหน้าอก หอบ เหนื่อยง่าย ควรพบแพทย์ทันที
ประวัติครอบครัว – หากมีญาติป่วยเป็นโรคหัวใจ ควรตรวจแบบเฉพาะทาง เช่น Est, Echo
ปัจจัยเสี่ยง – สูบบุหรี่ เบาหวาน ความดัน ไขมันสูง
ความพร้อมทางร่างกาย – ผู้สูงอายุควรเลี่ยงการตรวจแบบ Est หากข้อเข่าไม่แข็งแรง
คำแนะนำจากแพทย์ – โดยทั่วไป แพทย์มักเริ่มต้นจาก ECG และ Echo หากมีข้อบ่งชี้เพิ่มเติมจึงอาจส่งตรวจ EST หรือ CT ตามความจำเป็น หากคุณมีอาการเจ็บหน้าอก เหนื่อยง่าย หรือมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดัน ควรเข้ารับการ ตรวจสุขภาพหัวใจ ทันทีไม่ควรรอให้มีอาการหนัก เพราะโรคหัวใจส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการในระยะเริ่มแรก การตรวจ Echo หรือ EST ควรทำภายใต้คำแนะนำจากแพทย์เฉพาะทางเท่านั้น
สรุป
การ ตรวจสุขภาพหัวใจ เป็นการป้องกันโรคหัวใจที่ดีที่สุด ทุกคนควรตรวจหัวใจอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง การตรวจสุขภาพหัวใจอย่างน้อยปีละครั้ง ควบคู่กับการปรับพฤติกรรมให้เหมาะสม เช่น รับประทานอาหารที่ดีต่อหัวใจ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และลดความเครียด ล้วนเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเพื่อชีวิตที่ยืนยาว ตรวจสุขภาพหัวใจวันนี้ เพื่อหัวใจที่แข็งแรงในวันพรุ่งนี้